Spotify

Spotify ผู้ให้บริการสตรีมมิ่งเพลงเปิดบริการในไทยเรียบร้อยแล้ว ตลาดบริการสตรีมมิ่งยิ่งเข้มข้นมากขึ้น แต่แน่นอนว่าการแข่งขันทางธุรกิจสำหรับผู้บริโภคถือว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคทำให้มีทางเลือกมากขึ้น 
Spotify สามารถใช้งานผ่านอุปกรณ์หลากหลายรูปแบบทั้งแอพในสมาร์ทโฟนและเดสก์ท็อป หรือเว็บเพลเยอร์ บนเบราเซอร์ ผู้ใช้งานสามารถใช้งานแบบฟรีแต่มีข้อจำกัดในการฟัง
ขณะที่การสมัครใช้งานแบบพรีเมียมที่มีค่าใช้จ่ายจะใช้งานแบบไม่มีโฆษณาคั่น ดาวน์โหลดเพลงเพื่อฟังแบบออฟไลน์ได้ ข้ามเพลงได้แบบไม่จำกัด เล่นเพลงแบบไม่จำกัด โดยสามารถทดลองฟรี 30 วัน
จุดเด่นของ Spotify คือการแลกเปลี่ยนเพลย์ลิสต์ของผู้ใช้งาน ที่ผ่านมามีบุคคลและองค์กรสร้างเพลย์ลิสต์ที่น่าสนใจให้ติดตามมากมาย
ผู้ใช้งานสามารถสร้างเพลย์ลิสต์/อัลบั้มเพลงส่วนตัว และบันทึกงานของศิลปินที่ชื่นชอบไว้ได้

ระบบการทำงานของ Spotify ยังเป็นอีกจุดเด่นที่ทำให้บริการนี้ได้รับความนิยม ระบบนำข้อมูลการใช้งานของผู้ใช้มาวิเคราะห์ การแนะนำเพลงของ Spotify ไม่ได้ยกเพลงเป็นตันขึ้นมาโยนใส่ผู้ใช้ แต่จะมีระบบแนะนำรายสัปดาห์โดยเลือกกลุ่มเพลงจำนวนหนึ่งขึ้นมาแนะนำ และจะแปรผันตามพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้แต่ละราย

เช่นเดียวกับสตรีมมิ่งอื่น Spotify มีฟังก์ชั่นการใช้งานคล้ายกันคือ เลือก “เพลง/เพลย์ลิสต์/ศิลปิน/แนวเพลงที่ชื่นชอบ” และยังมี Podcast แต่จุดเด่นที่ทำให้แตกต่างตามที่กล่าวข้างต้นคือการแลกเปลี่ยนเพลย์ลิสต์กับผู้ใช้งานอื่น และยังสามารถอัพโหลดเพลงจากอุปกรณ์ลงในสตรีม และบริหารจัดการสิ่งที่นำเข้าระบบ แต่ยังมีเสียงวิจารณ์ว่า Spotify ไม่มีฟังก์ชั่นนำเพลงที่เคยจัดเก็บเข้าไป Export ออกมาเมื่ออยากนำไฟล์ออกหรือในกรณีที่ตัดสินใจเลิกใช้งาน

ราคา
Spotify : ฟรี หรือแบบบุคคล 129 บ./เดือน
Apple Music : ทดลองใช้งานฟรี 3 เดือน หรือแบบบุคคล 129 บ./เดือน
Joox : ฟรี หรือแบบบุคคล 129 บ./เดือน
เพลง
Spotify : +30 ล้านแทร็ก / +1,000 เพลย์ลิสต์
Apple Music : +30 ล้านแทร็ก
Joox : 3.5 ล้านเพลง + เพลงพิเศษ (VIP)
จุดเด่นของการใช้งาน
Spotify : แลกเปลี่ยนเพลย์ลิสต์กับผู้ใช้อื่น / Podcast / ฟังแบบ Offline (Premium)
Apple Music : เพลง Exclusive จากศิลปินเฉพาะ / วิทยุจากดีเจหรือเผยแพร่เอง / ฟังแบบ Offline (Membership)
Joox : มีเนื้อเพลงคาราโอเกะ /ฟังแบบ Offline (VIP)
คุณภาพเสียง 
Spotify : 96kbps (Mobile/โทรศัพท์) 160kbps (Desktop/คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล) / 320kbps ogg (Premium)
Apple Music : 256kbps AAC
Joox : Standard 128 kbps / Medium 192 kbps (VIP)

รีวิว Spotify: มีอะไรดีกว่า ทำไมหลายคนถึงชอบ

ก่อนอื่น ต้องบอกก่อนเลยว่า ผมไม่ใช่คนแรกที่รู้ข่าวว่า Spotify จะมาเปิดให้บริการในไทยอย่างเป็นทางการ (ซะที) แต่พอรู้แล้ว มันก็ทำให้ผม และแฟนๆ spotify ในประเทศไทยหลายๆคนตื่นเต้นตามๆกันไป แต่เอ~ ทำไมคนถึงชอบ spotify กันนัก ทั้งๆที่ประเทศที่ให้บริการก็น้อย ช่วงให้ใช้ฟรีก็น้อย หน้าตาก็ไม่ได้ว้าวกว่าแอพตัวอื่นสักเท่าไหร่ แต่นี่คือเหตุผลที่ทำไมผมถึงเลือกสมัคร Spotify ไม่ใช่ Apple Music, Deezer หรือ Joox

ฟังฟรี ที่ไหนก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้

จุดที่ทำให้ Spotify แตกต่างจากแอพฯฟังเพลงอื่นๆก็คือ ความที่มันรองรับแทบจะทุกแพลทฟอร์มที่มีในโลก ไม่ว่าจะเป็น Android, iOS, Windows Phone, Playstation, Xbox, Windows, Mac, Chromecast หรือแม้แต่ smart tv ก็มีให้ใช้แทบจะทุกแบรนด์กันเลยทีเดียว นอกจากนี้เหล่าแฟนๆฟรีแวร์ก็สามารถใช้ spotify บน linux ผ่าน web app ได้เช่นกัน

เปลี่ยนเพลงบนคอมจากโทรศัพท์

rockout

นอกจากจะสามารถฟังได้ทุกที่แล้ว แอพฯ Spotify ยังทำตัวเป็นรีโมทคอนโทรลสำหรับแอพ spotify ของเราที่เปิดบนเครื่องอื่นอยู่ได้ด้วย แค่เปิดใช้ spotify connect ก็เรียบร้อยแล้ว โดยตัวแอพฯ สามารถรับรู้ได้ว่าเราเล่นเพลงจากเครื่องไหนอยู่บ้าง ถ้าอยากเลือกเพลงจากโทรศัพท์ แต่ฟังจากชุดโฮมเธียเตอร์ที่บ้าน ก็แค่เปิดแอพฯในทีวี แล้วเลือกเพลงในโทรศัพท์ แอพฯ มันก็จะขึ้นมาถามเราเองว่าจะให้โยนขึ้นทีวีเลยไหม แค่กดตกลงก็ได้ฟังเพลงบนจอใหญ่ยักษ์ จากลำโพงดังๆ แถมยังคอนโทรลได้จากโทรศัพท์อีกด้วย แต่ถ้าใครสมัคร premium ก็สามารถเปิดเพลงบนมือถือผ่านคอมได้ด้วยนะ (แต่ดูเหมือนจะไม่มีเหตุผลที่จะต้องทำแบบนั้นนะ)

เพลย์ลิสต์ส่วนตัว สำหรับคุณเท่านั้น

dw_3

เป็นที่รู้กันดีว่า Spotify มีเพลย์ลิสต์เยอะมาก ไม่มีเจ้าไหนเทียบได้ แต่มันมีไว้ทำอะไรล่ะ? มันก็เหมือนซีดีรวมเพลงที่เราชอบนั่นแหละ แต่เป็นเวอร์ชั่น 2010s ที่ฟังผ่านอินเตอร์เน็ต แต่นอกจากนั้นแล้ว ยังมี playlist ที่แบ่งตามอารมณ์ด้วย คงไม่มีคนไหนอยากฟังเพลงร็อคตอนเศร้าๆ หรือฟังเพลงเบาๆตอนปาร์ตี้หรอกเนอะ ด้วยเหตุนี้ Spotify จึงมีเพลย์ลิสต์ให้เลือกแทบนับไม่ถ้วน ตั้งแต่แนวร็อคยันโอเปร่า นอกจากนั้นยังมีส่วนเพลย์ลิสต์แนะนำที่เปลี่ยนตามวัน/เวลาอีกด้วย เรียกได้ว่าเปลี่ยนทุกวัน 3 ครั้งหลังอาหารเลยทีเดียว

แต่มาถึงขนาดนี้แล้วผมยังไม่ได้พูดถึงสิ่งที่ผมเกริ่นไว้ตรงหัวข้อนี้เลย ก็คือ personal playlist ซึ่งตรงนี้แหละ เป็นจุดขายของ Spotify เลยล่ะ ก็คือมันจะเก็บข้อมูลว่าเราฟังเพลงประเภทไหน ของใคร แนวไหน บ่อยๆบ้าง มันก็จะสร้าง playlist ที่เป็นของเราคนเดียวมาให้อัตโนมัติเลย และนอกจากนี้ มันยังอัพเดทให้ทุกสัปดาห์ด้วยนะ

ฟังเพลงฮิตใหม่ๆ ก่อนใครๆ

โดยเฉพาะเพลงสากล (ฝรั่ง) ตรงนี้ต้องบอกเลยว่า อัลกอริทึ่มของ Spotify นั้นยอดเยี่ยมจริงๆ มีศิลปินหน้าใหม่ที่ประสบความสำเร็จเพราะสปอติไฟมาแล้ว อย่างเช่น Starley เจ้าของเพลงฮิต Call On Me ที่มียอดสตรีมกว่า 500 ล้านครั้งตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรก และตั้งแต่นั้นมา spotify ก็ผลักดันเพลย์ลิสต์แนะนำเพลงใหม่ๆจากนักร้องหน้าใหม่มากขึ้น

pic-header11

เชื่อมต่อกับบริการต่างๆ

และแน่นอนว่า แอพฯที่ประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่จะเชื่อมต่อกับแอพฯอื่นๆได้ ซึ่ง Spotify ก็มีเช่นกัน ทั้งข้อมูลเชิงลึกของเพลงฮิตจาก Genius หรือจะดูเนื้อเพลงจาก Musixmatch แชร์ให้เพื่อนๆฟังได้โดยตรงจาก twitter เซฟเพลงโปรดไว้บนหลายๆแพลทฟอร์มด้วย IFTTT และอีกหลากหลายอย่างเท่าที่จะจินตนาการได้ มาถึงตรงนี้ เรียกได้ว่า “กินขาด” เลยทีเดียว

screen-shot-2016-10-23-at-5-51-10-pm-580d31023df78c2c7358c70c

และนอกจากนี้ Spotify ก็ยังมีฟีเจอร์อื่นๆให้ค้นหาอีก ถ้าใครได้อ่านแล้วอยากจะลองดูหน่อยว่ามันดีอย่างที่คุยจริงหรือเปล่า ก็เชิญไปทดลองใช้กันได้ที่ spotify.com ไม่ว่าจะฟรีหรือพรีเมียมก็มีให้เลือกทั้งนั้น ต่างกันที่ฟรีมีโฆษณา เล่นบนมือถือในโหมด shuffle เท่านั้น (เลือกเพลงไม่ได้) แล้วก็เซฟไว้ฟังออฟไลน์ไม่ได้ แต่จากประสบการณ์ที่ผมเคยใช้มาแล้ว เวอร์ชั่นฟรีก็ไม่ได้แย่กว่าพรีเมียมมากเท่าไหร่ เพราะฟังได้ทุกเพลง ไม่มีล็อกวีไอพีใดๆทั้งสิ้น


 

เอาล่ะ จบช่วงแนะนำแอพฯแล้ว เรามาเข้าส่วนของการรีวิวจริงๆกันดีกว่า แต่ก่อนจะเข้าสู่ส่วนรีวิวจริงๆนั้น ผมขออธิบายก่อนว่าสิ่งที่ผมจะตัดสินมีอะไรบ้าง เนื่องจากแอพนี้เป็นแอพฯสำหรับฟังเพลง สิ่งที่สำคัญเลยก็คือ เพลง จำนวนเพลงที่มีอยู่ในไลบรารี่เป็นสิ่งที่สำคัญในการเลือก ผมจะให้คะแนนตรงนี้จากลักษณะการฟังของผม ส่วนต่อไปก็คือการใช้งาน ใช้งานยาก/ง่ายแค่ไหน รวมถึงความสวยงามของ UI บนแต่ละแพลทฟอร์มด้วย ส่วนที่ 3 คุณภาพ แน่นอนว่าคุณภาพของเสียงก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน แต่เนื่องจากเสียงที่ออกมาจากลำโพงของแต่ละเครื่องมันต่างกัน จึงให้น้ำหนักกับส่วนนี้น้อยลงมา และส่วนสุดท้ายก็คือราคา ทั้งแบบฟรี และพรีเมียมจ่ายเงินแล้วได้อะไรเพิ่มบ้าง เอาเป็นว่ามาเริ่มที่ส่วนแรกกันก่อนเลย

จำนวนเพลงในไลบรารี่

แน่นอนว่าเป็นบริการที่เป็นที่นิยมมาจากต่างประเทศ แล้วยังมีให้ฟังฟรีด้วย ฐานผู้ใช้จึงเยอะกว่าเจ้าอื่นๆ และเพื่อที่จะตามคลังเพลงของ Apple Music ให้ทัน ผมคาดว่าที่มาเปิดในไทยก็เพราะเหตุผลนี้แหละ เพื่อที่จะขยายคลังเพลงของตัวเองให้ทัน โดยในรายงานจากปลายปีที่แล้ว Spotify มีเพลงกว่า 30 ล้านเพลงให้เลือกฟังกันอย่างจุใจเลยทีเดียว และถ้านับเพลงใหม่ๆที่ออกมาในปีนี้ รวมกับเพลงไทยที่เพิ่มเข้าไปด้วยแล้ว ก็น่าจะมีมากกว่านั้นอยู่ประมาณหนึ่งเลยทีเดียว แต่เท่าที่ผมสังเกตมา ก็มีเพลงค่อนข้างครบ เพราะหลังจาก Taylor Swift ประกาศปล่อยเพลงลง spotify ก็เรียกได้ว่ามีเพลงกระแสหลักครบแล้วล่ะ นอกจากนั้นก็ยังมีพวกบันทึกการแสดงสด อย่าง spotify session และ podcast ให้เลือกฟังด้วย

การใช้งาน

ตรงนี้ ถึงใครจะบอกว่า แอพ joox ออกแบบสวยกว่า แต่เมื่อดูที่การใช้งานแล้ว อันดับแรกเลยคือ หน้าปกอัลบัมที่ถูกคร็อบให้พอดีวงกลม มันก็สวยดีอยู่หรอก แต่ข้อเสียคือมันอาจจะตัดบางส่วนที่สำคัญไป เช่น ชื่อศิลปิน/ชื่ออัลบัม บางส่วน สัญลักษณ์ parental advisory ฯลฯ การที่แสดงหน้าปกอัลบัมแบบเต็ม ผมถือว่า +1 เลย ส่วนแอพฯบน desktop กับ web app ก็หน้าตาจะคล้ายๆกัน แต่ถ้าใครโชคดี อาจจะได้เห็นเว็บแอพตัวใหม่ของ spotify แต่โดยรวมแล้วถือว่าใช้ง่ายเลยทีเดียว

ฝั่ง desktop มีแถบแสดงรายการ playlist อยู่ด้านซ้าย และเพลงที่เพื่อนของเราฟังอยู่ด้านขวา ด้านล่างเป็นแผงควบคุม สามารถขยายรูปปกอัลบัมที่ฟังอยู่ได้โดยการกดที่รูป ส่วน web app ก็หน้าตาคล้ายๆกับของมือถือ แต่แท็บต่างๆจะอยู่ด้านซ้าย เพลงที่เล่นจะอยู่ด้านขวา แต่ถ้าหากเราเล่นบน chromecast เราก็จะเห็นแต่ชื่อเพลงกับปกอัลบัมเท่านั้น เพราะควบคุมจากมือถือ และไม่มี visualizer ให้ ใครที่ใช้จอ OLED ก็ระวังจอ burn in เหมือน crt ด้วยนะครับ

คุณภาพเสียง

อันนี้เป็นประสบการณ์ของผมเลย ฟังจาก iPhone, โทรศัพท์ Samsung, Macbook, แล็ปท็อปวินโดวส์ เสียงไม่เหมือนกันสักเครื่อง แต่ถ้าให้เทียบระหว่าง Apple Music กับ Spotify ผมคงต้องพูดถึงตอนที่ใช้ iPhone เครื่องเก่าของผม เพราะตอนนั้นผมได้ลองฟังเพลงเทียบกันทั้ง 2 แพลทฟอร์ม ตอนนั้นรู้สึกได้เลยว่า ถึงจะเป็นฟรี แต่เสียงจากแอพ spotify ดีกว่าเสียงจาก apple music จริงๆ ทั้งๆที่บิทเรทก็ต่ำกว่า แต่ทั้งความสมูธของการเล่น ความใสของเสียง Spotify ชนะขาด เพราะตอนเล่นมีกระตุกน้อยกว่า Apple Music และ ผมค่อนข้างพอใจกับคุณภาพที่ได้ ส่วนถ้าจะให้บอกว่าอุปกรณ์เครื่องไหนเล่นเพลงผ่าน Spotify เพราะสุด ก็คงจะเป็น Macbook คู่กับหูฟัง Sony ล่ะมั๊ง เพราะเสียงที่ได้ทำให้ผมรู้สึกพึงพอใจมากๆ แต่ถ้าใครอยากรู้ว่าระหว่าง spotify กับ tidal เสียงจะต่างกันขนาดไหน ผมแนะนำว่าให้เตรียมเงินสัก 360 บาท แล้วก็สมัครดูเองเลยครับ เพราะผมคิดว่า มันแพงเกินไป กับคุณภาพเสียงที่เราแทบจะแยกไม่ออกเลยว่าอันไหน ธรรมดา อันไหน HiFi

ราคา

ส่วนสุดท้ายแล้ว หลายคนอาจจะรู้แล้ว แต่บางคนอาจจะไม่รู้ ว่า 129 บาท ต่างยังไงกับฟังฟรี อันดับแรกเลยคือ ฟังฟรี มีโฆษณา ฟังบนมือถือได้เฉพาะแบบสุ่ม และคุณภาพแบบปกติ นอกนั้นเหมือนกันหมด แล้วถ้าเราอัพเกรดเป็นพรีเมียม 129 บาทจะได้แค่เลือกเพลงได้ ไม่มีโฆษณา กับคุณภาพดีขึ้น ใช่ไหม? จริงๆแล้วมันก็ประมาณนั้นนะ บวกกับฟีเจอร์ที่ไม่ค่อยจำเป็นในยุคนี้ อย่าง offline คือมันจะใช้พื้นที่โทรศัพท์/คอมพิวเตอร์ บันทึกเพลงนั้นๆไว้ฟังตอนที่ไม่ได้ต่อเน็ต ถ้าใครคิดว่าฟังฟรีก็ไม่ได้แย่กว่าพรีเมียมขนาดนั้นก็เลือกฟรีได้ แต่ถ้าอยากจะเลือกเพลงก็ต้องใช้ทริกกันหน่อย แต่บอกเลยว่า ถ้าเกิดมี earworm (ปรากฏการณ์ที่เพลงเล่นวนอยู่ในหัวซ้ำๆ ทำให้รู้สึกอยากฟังเพลงนั้นๆ และไม่มีสมาธิ)  ขึ้นมาละก็ คงจะต้องใช้เวลานานหน่อยนะ

สรุป

จากทั้ง 4 หัวข้อ ผมสรุปให้สั้นๆเลยก็แล้วกัน Spotify เหมาะกับคอเพลงที่ต้องการเพลงอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะสายฟรีหรือสายเปย์ ด้วยประสบการณ์การใช้งานที่ดี ถ้าเทียบกับเจ้าอื่นที่ระดับราคาเดียว/ใกล้เคียงกัน

ผมให้ 5/5 สำหรับ Spotify Free และ 4/5 สำหรับ Spotify Premium เนื่องจากฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาไม่ค่อยว้าวเท่าไหร่ ยังทำให้ผมรู้สึกว่าเพลงก็ยังแพงอยู่ แต่ถ้าเทียบแล้ว ฟังเพลงแบบไม่มีโฆษณา ยังไงก็ดีกว่า แถมยังได้สนับสนุนศิลปินที่เราชอบด้วย

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *